ประเภทของการค้นหาข้อมูล
- Search Engine
กาค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต สามารถแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ 3 ประเภท คือ
1. Seach Engine การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง
Seach Engine
เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยในการค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรมช่วยในการค้นหาที่เรียก
ว่า Robot
ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ตมาเก็บไว้ในฐานข้อมูล
ซึ่งการค้นหาข้อมูลรูปแบบนี้จะช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ตรงกับความต้อง
การเฉพาะได้ระบุคำที่เจาะจงลงไป
เพื่อให้โรบอตเป็นตัวช่วยในการค้นหาข้อมูลซึ่งเป็นรูปแบบที่เป็นที่นิยมมาก
เช่น http://www.google.com/
2.Search Directories การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่
การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่โดยมีเว็บไซต์ที่เป้นตัวกลางในการรวบรวมข้อมูลใน
ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยจัดข้อมูลเป็นหมวดหมู่
เพื่อให้ผู้
ใช้สามารถเลือกข้อมูลตามที่ต้องการได้โดยการจัดหมวดหมู่ของข้อมูลจะจัดตาม
ข้อมุลที่คล้ายกัน หรือเป็นประเภทเดียวกัน นำมารวบรวมไว้ในกลุ่มเดียวกัน
ลักษณะ
การค้นหาข้อมูล Search Directories
จะทำให้ผู้ใช้สะดวกในการเลือกข้อมูลที่ต้องการค้นหา
และทำให้ได้ข้อมูลตรงกับความต้องการ
การค้นหาวิธีนี้
มีข้อดีคือ
สามารถเลือกจากชื่อไดเร็กทอรี่ส์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหา
และสามารถที่จะเข้าไปดูว่ามีเว็บไซต์ใด้บ้างได้ทันที
3. การค้นหาจากหมวดหมู่ หรือ Directories
การให้บริการค้นหาข้อมูลด้วยวิธีนี้
เปรียบเสมือนเราเปิดหน้าต่างเข้าไปในห้องสมุด
ซึ่งได้จัดหมวดหมุ่ของหนังสือไว้แล้ว
และเราก็ได้เดินไปยังหมวดหมู่ของหนังสือที่ต้องการ
ซึ่งภายในหมวหมู่ใหญ่นั้น ๆ ยังประกอบด้วยหมวดหมู่ย่อย ๆ
เพื่อให้ได้ข้อมุลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแบ่งประเภทของข้อมุลให้ชัดเจน
เราก็จะสามารถเข้าไปหยิบหนังสือที่ต้องการได้
แล้วก็เปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาข้างในของหนังสือเล่มนั้น
วิธีนี้จะช่วยให้การค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น
มีเว็บไซต์มากมายที่ให้บริการการค้นหาข้อมูลในรูปแบบนี้ เช่น www.siamguru.com , www.sanook.com , www.excite.com , www.hunsa.com , www.siam-search.com
วิธีปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบ Directories สามารถทำได้ดังต่อไปนี้คือ
2. เลือกชื่อหัวข้อเรื่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล เช่น การศึกษา
จะแบ่งเป็นหัวข้อย่อย ดังนี้ โรงเรียน สถาบันอุดมศึกษา สถาบันกวดวิชา
และการสอนพิเศษแนะแนวการศึกษา
3. เมื่อคลิกที่หัวข้อเรื่องย่อยที่ต้องการ เช่น สถาบันอุดมศึกษา
4.
จะปรากฏหัวข้อเรื่องย่อยของสถาบันอุดมศึกษา เช่น สถาบัน ,
มหาวิทยาลัยของรัฐ , มหาวิทยาลัยเอกชน , มหาวิทยาลัยราชภัฏ เป็นต้น
ทำให้สามารถเลือกข้อมูลได้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด
โดยไม่ทำให้เสียบเวลาในการเลือกข้อมูล เพราะ
ได้จักเป็นข้อมูลไว้เป็นกลุ่มข้อมูลย่อย ๆ
5.
นอกจากแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยของข้อมูล
แล้วก็ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ
เพื่อให้ผู้ใช้เลือกค้นหาข้อมูลอีกมากมาย
การค้นหาโดยใช้ Search Engine
Search Engine Marketing คำนี้ไม่ได้เป็นศัพท์ใหม่ หลายๆ
คนรู้จักกันมานานแล้ว แต่ในประเทศเราเองนั้น เพิ่งจะเริ่มตื่นตัวกับการทำ
SEM นี้ในช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมานี้เอง หากใครยังไม่รู้ว่า Search Engine
Marketing คืออะไร จะขออธิบายดังนี้
SEM หรือ Search Engine Marketing นั้น หากแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ จะหมายถึงการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ที่เด่นๆ นั้นก็ได้แก่ Google, Yahoo และ Live (MSN) โดยการทำ SEM นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
การทำ Search Engine Optimization (SEO) คือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ของเราให้โดนใจ Search Engine ต่างๆ อาจจะมีการปรับโครงสร้างภายใน code, โครงสร้าง link หรือ บางทีเมื่อก่อนที่เราเคยโปรโมทเว็บเราด้วยการแลกลิงค์ (link exchange) นั้น ก็ถือว่า เป็นการทำ SEO แบบหนึ่งอีกด้วย
แต่การจะทำ SEO ได้นั้น ต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ทั้ง off-page และ on-page factor ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีผลกระทบกับการทำ SEO เป็นอย่างยิ่ง แต่อะไรจะมีคะแนนมากหรือน้อย อย่างไรนั้น ต้องไปทดลองทำด้วยตนเองถึงจะรู้ เมื่อเราทำ SEO แล้วนั้น เว็บไซต์ที่เราทำจะไปปรากฏบริเวณด้านซ้ายมือของผลการค้นหา ซึ่งแน่นอนว่า บริเวณนี้จะมีคนคลิกเป็นจำนวนมาก และคนส่วนใหญ่จะคลิกเว็บไซต์ที่ปรากฏผลในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาเป็นจำนวนมาก
เรียกได้ว่า ใครมีเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาจะสามารถทำเงินได้อย่างสบายๆ
SEM หรือ Search Engine Marketing นั้น หากแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ จะหมายถึงการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ที่เด่นๆ นั้นก็ได้แก่ Google, Yahoo และ Live (MSN) โดยการทำ SEM นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
การทำ Search Engine Optimization (SEO) คือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ของเราให้โดนใจ Search Engine ต่างๆ อาจจะมีการปรับโครงสร้างภายใน code, โครงสร้าง link หรือ บางทีเมื่อก่อนที่เราเคยโปรโมทเว็บเราด้วยการแลกลิงค์ (link exchange) นั้น ก็ถือว่า เป็นการทำ SEO แบบหนึ่งอีกด้วย
แต่การจะทำ SEO ได้นั้น ต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ทั้ง off-page และ on-page factor ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีผลกระทบกับการทำ SEO เป็นอย่างยิ่ง แต่อะไรจะมีคะแนนมากหรือน้อย อย่างไรนั้น ต้องไปทดลองทำด้วยตนเองถึงจะรู้ เมื่อเราทำ SEO แล้วนั้น เว็บไซต์ที่เราทำจะไปปรากฏบริเวณด้านซ้ายมือของผลการค้นหา ซึ่งแน่นอนว่า บริเวณนี้จะมีคนคลิกเป็นจำนวนมาก และคนส่วนใหญ่จะคลิกเว็บไซต์ที่ปรากฏผลในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาเป็นจำนวนมาก
เรียกได้ว่า ใครมีเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาจะสามารถทำเงินได้อย่างสบายๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น